วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พลังแห่งความสำเร็จ

พลังแห่งความสำเร็จ

เราเคยใช้เวลาในการดูแลชีวิตตัวเองมากน้อยแค่ไหน? หรือว่าไม่เคยคิดเลย!!!
ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ เพราะทุกวันนี้ เวลาเป็นเงินเป็นทอง
ใครจะมีเวลามาปวดหัวคิดวิเคราะห์ตัวเอง
แค่วิเคราะห์งานก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่แล้ว
แล้วยังจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งคิด นอนคิดเรื่องของตัวเอง

ก็เพราะแบบนี้ล่ะครับ ที่เราส่วนใหญ่ ไม่ยอมเสียเวลาเพียงนิดหน่อย
เพื่อให้เกิดการพิจารณาหรือไตร่ตรองดูให้เรียบร้อยเสียก่อน

ชายตัดไม้จอมขยัน
ชายตัดไม้จอมขยัน จะตื่นแต่เช้า เพื่อไปตัดไม้
วงจรชีวิตของเขาเป็นเช่นนี้ทุกวัน
วันหนึ่งเศรษฐีใจดี จากหมู่บ้านข้างเคียง ได้ยินกิตติศัพท์ความขยันของเขา
และอยากจะช่วยเหลือเป็นเงินทอง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับ
เศรษฐีจึงคิดหาวิธีให้เงินแก่ชายหนุ่ม
จึงว่าจ้างให้เขาตัดไม้เพื่อจะเอาไปทำเป็นเฟอร์นิเฟอร์
โดยมีข้อแม้ว่า 
สิบวันต่อจากนี้ชายตัดไม้ต้องตัดไม้ให้ได้อย่างต่ำวันละ 20 ต้น
จึงจะได้เงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเงินจำนวนนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างตัวได้อย่างสบาย
ชายหนุ่มตกลงที่จะรับเพื่อแลกกับเงินจำนวนนั้น
เพราะเห็นว่าเป็นการแลกกับการทำงาน
เมื่อทำงานได้เงินก็ไม่ถือว่าเป็นหนี้บุญคุณใดๆ
ชายตัดไม้จอมขยัน
ชายตัดไม้จอมขยัน จะตื่นแต่เช้า เพื่อไปตัดไม้
วงจรชีวิตของเขาเป็นเช่นนี้ทุกวัน
วันหนึ่งเศรษฐีใจดี จากหมู่บ้านข้างเคียง ได้ยินกิตติศัพท์ความขยันของเขา
และอยากจะช่วยเหลือเป็นเงินทอง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับ
เศรษฐีจึงคิดหาวิธีให้เงินแก่ชายหนุ่ม
จึงว่าจ้างให้เขาตัดไม้เพื่อจะเอาไปทำเป็นเฟอร์นิเฟอร์
โดยมีข้อแม้ว่า                                                 
สิบวันต่อจากนี้ชายตัดไม้ต้องตัดไม้ให้ได้อย่างต่ำวันละ 20 ต้น
จึงจะได้เงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเงินจำนวนนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างตัวได้อย่างสบาย
ชายหนุ่มตกลงที่จะรับเพื่อแลกกับเงินจำนวนนั้น
เพราะเห็นว่าเป็นการแลกกับการทำงาน
เมื่อทำงานได้เงินก็ไม่ถือว่าเป็นหนี้บุญคุณใดๆ

เมื่อทราบกฎกติการเป็นที่เรียบร้อย วันรุ่งขึ้นชายหนุ่มรีบเข้าป่า
ตัดไม้อย่างรวดเร็ว สิ้นสุดเย็นวันแรก ชายหนุ่มสามารถตัดไม้ได้ถึง 22 ต้น
สร้างความปลาบปลื้มแก่เศรษฐีเป็นอย่างมาก

วันที่ 2 ชายหนุ่มก็ตื่นแต่เช้าออกตัดไม้อีกครั้ง คราวนี้ตัดได้ 21 ต้น

วันที่ 3 ชายหนุ่มจึงตื่นให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะตัดไม้ให้เท่ากับสถิติเดิมที่ตนทำไว้ในวันแรก
ตกเย็นกลับตัดได้เพียง 20 ต้น เท่านั้น
ชายหนุ่มเริ่มหัวเสียกับตัวเอง ไม่เข้าใจว่า ทำไมตัดได้น้อยลง
เศรษฐีได้แต่ยืนยิ้ม ไม่พูดอะไร

วันที่ 4 ชายหนุ่มตื่นเช้ากว่าเดิมอีก หวังจะให้ได้ไม้อย่างน้อยๆ 20 ต้น ก็ยังดี
ตกเย็นชายหนุ่มกลับตัดได้แค่ 19 ต้น วันนี้เศรษฐีเริ่มมองเขาอย่างเวทนา ก่อนเอ่ยถาม
เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า?”
ข้าก็ตื่นแต่เช้าทุกวันล่ะ แต่ทำไมเหมือนข้ายิ่งรีบร้อน ข้ายิ่งตัดมันช้าลงทุกวัน
เศรษฐีได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร

วันที่ 5 ชายหนุ่มตัดได้ 18 ต้น
ข้าพยายามเต็มที่แล้วท่านเศรษฐี แต่ข้าทำได้แค่นี้
เศรษฐียังคงถามคำเดิม
เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า?”
แล้วก็ปล่อยให้ชายหนุ่มเกิดคำถามต่อไป
ชายหนุ่มคิดพิจารณาว่า เขาลืมอะไรได้หรือเปล่า
ก็ไม่มีอะไรที่ต้องลืม เพราะเขาก็ทำเหมือนที่ผ่านมาทุกวัน

วันที่ 6 ชายหนุ่มสามารถตัดได้เพียง 17 ต้น
อะไรกันนี่ท่าน ทำไมยิ่งนานวัน ข้ายิ่งตัดไม้ได้น้อยลงเรื่อยๆ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เศรษฐียังคงถามคำถามเดิม แฝงด้วยรอยยิ้ม
เจ้าลืมอะไรหรือเปล่า?”
ท่านเศรษฐี ข้าพยายามคิดทุกอย่างแล้วนะ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ข้าต้องลืมนี่
ข้าก็ตัดไม้เหมือนทุกวัน เมื่อท่านรู้ว่ามันคืออะไร ท่านช่วยบอกให้ข้ารู้ด้วยเถอะ
เศรษฐียิ้มอย่างใจดี
เจ้าเป็นคนขยันขันแข็งหนักเอา เบาสู้ แต่ที่ข้าถามเจ้าทุกวันด้วยประโยคเดิมๆ ว่า
เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า? เจ้าฉุกคิดอะไรได้บ้างไหม?”

ชายหนุ่มเงียบ ไม่ตอบอะไร แต่มองหน้าเศรษฐีด้วยความสงสัย
ท่านโปรดบอกข้าเถอะว่าข้าลืมอะไรไป จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังนึกไม่ออก
ข้าขอถามเจ้าเพียงประโยคเดียว…”
เศรษฐีเงียบก่อนถามช้าๆ
เจ้าเคยใช้เวลาลับคมให้กับขวานของเจ้าบ้างไหม?”
ชายหนุ่มนึกย้อนในใจ
ตั้งแต่ข้าซื้อขวานด้ามนี้มา ข้ายังไม่เคยลับคมให้มันเลย
มันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญมิใช่หรือท่าน ในเมื่อมันยังสามารถตัดไม้ได้อยู่
สำคัญสิ ที่ข้าถามเจ้า เพราะอยากให้เจ้ารู้ว่า
การที่เจ้าลงมือทำงานตามที่บอกอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ไม่ยอมคิดพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัวว่าจะสามารถช่วยเจ้าได้อย่างไร
ก็เท่ากับว่า เจ้าล้มเหลวไปครึ่งหนึ่งแล้ว
การที่ข้าสามารถร่ำรวยเป็นเศรษฐีแบบนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความขยันเพียงอย่างเดียว
แต่ข้าให้ความสำคัญกับสิ่งที่ข้าทำ
ข้าจะเสียเวลาค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุ
ที่ทำให้ข้าไม่สามารถประสบความสำเร็จในงานที่ข้าทำ
ก็เหมือนกับเจ้า ที่ยิ่งขยันทำงาน กลับยิ่งเหนื่อยมากขึ้น
เพราะเจ้าไม่เคยหยุดเพื่อที่จะลับคมขวานให้คมอยู่เสมอ
เจ้าไม่ได้หยุดสำรวจสิ่งรอบๆ ตัวเจ้า โดยเฉพาะอุปกรณ์ในการหากิน
เจ้าไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้น หรือย้อนดูตัวเอง ยิ่งเจ้าคิดอยากจะได้
อยากจะรวย เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ดูแลตัวเอง ไม่มีทางที่เจ้าจะสำเร็จได้

แล้วการที่ข้าหยุดคิด มันจะไม่เสียเวลาทำงานหรือท่าน?”
การที่เจ้าหยุดคิด เสียเวลาเพียงเล็กน้อยพิจารณาว่าอะไรคือข้อบกพร่อง
กับการที่เจ้าต้องพลาดโอกาสงามๆ เกือบทั้งชีวิต
กับการลงมือทำโดยมิยอมสละเวลาสำเร็จตัวเอง
เจ้าคิดว่ามันคุ้มแล้วหรือ เช่นในการตัดไม้ครั้งนี้
เจ้าไม่สามารถทำได้ตาม ดังนั้น เงินที่เจ้าสมควรจะได้จึงถือว่าเป็นโมฆะ...
คนเราจะขยันเพียงอย่างเดียวคงร่ำรวยไม่ได้
เจ้าต้องมีหัวคิด ต้องมีไหวพริบ เฉลียวฉลาด รู้จักคิดให้มากๆ
ต้องวางแผนชีวิตว่าเจ้าจะทำอย่างไรกับตัวของเจ้าเอง...
เพาะฉะนั้นวันนี้ เจ้าจงกลับไปใช้เวลาในการลับคมขวานและคุณภาพของมันให้มากขึ้น
เพื่อการตัดไม้ในครั้งหน้า จะได้สำเร็จตามเป้าหมาย

นั่นคือ อานุภาพของการวิเคราะห์ตัวเองไงครับ...
เราเคยใช้เวลาช่วงใด ช่วงหนึ่งของชีวิตในการพิจาณาตัวเองบ้างไหม?
พิจารณาให้ละเอียดรอบรอบ ว่าเราเป็นคนอย่างไรบ้าง
เพื่อที่จะได้ไม่สูญเสียโอกาสของชีวิต

คงมีคนถามนะครับว่า แล้วทำไมเศรษฐีไม่ยอมบอกหนุ่มตัดไม้ล่ะว่า
ต้องลับขวานให้คม
แล้วถ้าผมถามพวกเราบ้างล่ะครับว่า
ชีวิตของเรา เราจะให้คนอื่นมาวางแผนชีวิตให้กับเราหรือครับ?

ก็เปรียบเทียบเช่นเดียวกัน เศรษฐีเป็นคนที่ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวไงล่ะครับ
เขาเพียงแต่แนะนำได้เท่านั้น ให้โอกาสในการตัดสินใจด้วยตัวเอง

มนุษย์เราทุกคน ไม่ชอบให้คนมากำหนดวิถีชีวิต
ขืนเศรษฐีใจดี ไปแนะนำ แล้วชายหนุ่มเกิดไม่พอใจขึ้นมา
ก็เป็นเรื่องขุ่นข้องใจกันเสียเปล่าๆ เพราะทุกคนต่างก็หยิ่งทรนงในศักดิ์ศรี
ไม่ต้องการให้มีใครมาสั่งสอนหรอกครับ
ตัวของเรา เราก็ควรที่จะพิจารณาด้วยตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาวางแผนชีวิตให้...
เพราะเราเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของเราเอง

ตอนที่ 6
พลังแห่งความสำเร็จ จะช่วยปลุกพลังแฝงในตัวเราออกมาครับ...
เรามาร่วมสานฝันของเราให้ต่อเนื่อง
อย่าหยุดฝัน หรือหยุดคิด เพราะเวลายังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ

ธรรมชาติยุติธรรมกับทุกคนบนโลกใบนี้
โดยให้เวลามาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง แต่ทำไม?
มนุษย์ถึงมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

บางคนรวยล้นฟ้า เงินทองใช้กี่ชาติก็ไม่หมด
แต่บางคนจนเสียยิ่งกว่าจน ทั้งๆ ที่เวลามีเท่าๆ กัน
ไม่ใช่เพราะว่าดวงนะครับ
แต่เกิดจากการสร้างและการเพิ่มเวลาให้กับชีวิต
ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์

คนที่ร่ำรวยในปัจจุบัน
แท้จริงและตระกูลเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยมาก่อนหรอกครับ
เพียงแต่เกิดจากความมานะพยายาม อดทน ต่อสู้ ฝ่าฟันอุปสรรค
จากบรรพบุรุษ ที่ก่อร่างสร้างตัว ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
แล้วก็จากไป ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน
หากลูกหลานรู้จักคุณค่าของเวลา ก็จะเอาทุนเดิมที่มีอยู่
ต่อยอดเพิ่มเวลา เพิ่มความมั่งคั่งให้ชีวิต ก็จะยิ่งมั่งคั่งสมบูรณ์

เราภูมิใจกับการเป็นผู้รับมรดกหรือ?
หรือว่าจะภูมิใจกับการทิ้งมรดกไว้เบื้องหลัง
ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะสร้างความมั่งคั่ง
ให้เกิดขึ้นในชีวิต สร้างพลังแห่งความสำเร็จขึ้นในจิตใจ

หากพิจารณาให้รอบคอบแล้ว ผู้ที่ร่ำรวยขึ้นได้นั้น

มิได้ร่ำรวยด้วยตัวเองคนเดียว

หากแต่มีเพื่อนฝูง บริวาร รายล้อมเป็นจำนวนมาก
เพราะบุคคลต่างๆ เหล่านี้
เป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยให้ความฝัน
หรือจินตนาการของเรากลายเป็นความจริงในที่สุด


อย่าหยุดฝัน อย่าหยุดคิด พยายามสร้างมวลมิตรให้มากๆ

ให้บรรดาเพื่อนพ้องช่วยผลักดันความสำเร็จให้
แทนที่เราจะลุยเพียงคนเดียว

ถึงตอนนี้ เราควรที่จะใช้เสียสละเวลากับตัวเอง ใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น
ปล่อยหรือละงานที่ค้างคาอยู่ก่อน แล้วมาค้นหาตัวเองให้เจอ
ว่าตั้งแต่เราเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้นั้น
เราได้เคยพิจารณาตัวเองบ้างไหม?
เคยย้อนมองตัวเองบ่อยเพียงไหน?

เพราะปกติแล้ว เราจะสนใจและชอบตำหนิหรือวิจารณ์ผู้อื่นมากกว่าตัวเอง เพราะฉะนั้น เวลานี้
ขอให้เราใช้เวลาวิจารณ์ตัวเองบ้าง
ว่าตัวเองมีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงใดที่อยู่บนโลกใบนี้
มีประโยชน์แค่ไหนบ้าง???
การรับรู้ของคนเรา
เรามีคนอยู่หลากหลายประเภทแตกต่างกันออกไป
แต่ละคนก็มีความสามารถ มีความรู้แตกต่างกันครับ
จงภูมิใจกับความสามารถที่มีอยู่ของตนเอง
และนำความรู้ ความสามารถนั้นๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากที่สุด
มนุษย์เราเองนั้น มีความสามารถในการรับรู้ด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภทดังต่อไปนี้

  1. รู้ว่าเรารู้
งงกันบ้างไหมครับ? อะไร? รู้ว่าเรารู้
ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราทุกคนรู้กันอยู่ในปัจจุบัน
ว่าเรารู้อะไรบ้าง เราได้ศึกษาศาสตร์ สาขา วิชาใดบ้าง
คือประเภทของการรับรู้ว่าเรารู้นั่นเอง แต่การที่เรารู้ว่าเรารู้นั้น
จะเกิดการถ่ายทอดให้ผู้อื่นหรือไม่นั้น
ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แก่การที่จะแสดงว่าเรารู้จริงในเรื่องนั้นๆ
ก็ย่อมต้องแสดงหรือการสอน แนะนำ
ให้ผู้อื่นสามารถที่จะปฏิบัติตามเราได้ เรื่องที่จัดว่าเป็น
เรารู้ว่าเรารู้ ก็เห็นได้ทั่วไปครับ เวลาเราทำงานอะไรสักอย่างหนึ่ง
เราสามารถที่จะปฏิบัติได้ถูกต้อง รู้ว่าขั้นตอนใดเป็นอย่างไร
นั่นล่ะครับ รู้ว่าเรารู้ ความรู้ติดตัว

  1. รู้ว่าเราไม่รู้
ก็คือเรารู้ว่าศาสตร์หรือทฤษฎีต่างๆ มีขึ้นบนโลกนี้นั่นเอง
แต่เรายังไม่ได้เรียนรู้ ยังไม่ได้ศึกษา โลกนี้ยังกว้างขวางครับ
ยังมีอีกมากที่เรารู้ว่าเราไม่รู้ หากสนใจก็ต้องศึกษาให้รู้จงได้
ในข้อนี้ คำจำกัดความอาจจะเปลี่ยนแปลงได้
กลายเป็น ข้อที่ 1
เมื่อเราเกิดความใส่ใจหรือสนใจ ในศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งบนโลกใบนี้
จัดเป็นประเภทของมนุษย์ที่พร้อมรับรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกใบนี้
แต่ก็มีบางประเภท
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอยู่แต่ก็ยังไม่สนใจที่จะเรียนรู้จากศาสตร์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

  1. ไม่รู้ว่าเราไม่รู้
การรับรู้ในข้อนี้ เป็นการรับรู้ด้วยความรู้สึกว่า
เราเองอาจจะเป็นผู้คิดค้นกรรมวิธีใหม่ๆ ขึ้นมาบ้างก็ได้ในภายภาคหน้า
บางคนบอกว่า การที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ ถือเป็นประเภทของศาสตร์มนต์ดำ
ผิดถนัดครับ ในที่นี้ หมายถึง เราเองนั้นอาจจะเป็นผู้คิดค้น
เป็นเจ้าของตำนานอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาก็ได้
นั่นเป็นความคิดเชิงบวก หากแต่คิดในเชิงลบ
ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนโง่ ที่ไม่รู้จักเลือกสรรค์
หรือคิดค้นอะไรใหม่ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อโลกบ้างเลย
จัดว่าเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัว จงเป็นผู้รังสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้โลกใบนี้เถอะ!!!

คนที่จะประสบความสำเร็จต้องอยู่กับคำว่า ไม่รู้ ให้มากกว่า รู้

จงค้นหาในสิ่งที่เราไม่รู้ต่อไปเถอะครับ อย่าหยุด อย่ายอมแพ้
ตราบใดที่เวลาแห่งชีวิตยังเดินอย่างต่อเนื่อง
การที่เราเรียนรู้ตลอดเวลา จะทำให้เราเปิดกว้างทางความคิดและจิตใจ
ได้เรียนรู้จิตใจของคน ได้มีเพื่อน มีศัตรู มีผู้ที่คอยช่วยเหลือ
มีผู้ที่คอยนินทา บุคคลต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมีประโยชน์ต่อตัวเราเป็นอย่างมาก


เพื่อน จะคอยเป็นกำลังใจให้เรา เมื่อยามที่เราท้อแท้หรือหมดหวัง
ศัตรูหรือคนที่นินทาว่าร้าย จะคอยเป็นผู้ที่กระตุ้นความรู้สึกให้เราเกิดการอยากเอาชนะ
เกิดการแข่งขัน เกิดความกระตือรือร้น อยากลบคำสบประมาทที่ได้พูดไว้
หรือดูถูกเราไว้
ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากกว่าเพื่อนผู้เป็นกำลังใจให้เราเสียอีก

ตราบใดที่เราขาดศัตรูชีวิต ศัตรูในการทำงาน
เราจะรู้ว่า ชีวิตนี้จืดชืด ความก้าวหน้า ความกระตือรือร้นจะหดหาย
ฟืนกองใหญ่ไม่มีเชื้อเพลิงจะจุดให้ติดเป็นไฟกองใหญ่
ย่อมผุพังอย่างไร้ค่า ไร้ความหมาย

แรงแห่งการกระทบกระทั่ง ดูถูก ใส่ร้าย นินทา
จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ที่ถูกราดลงกองไฟที่กำลังจะมอดอย่างต่อเนื่อง
ทำให้เราต้องสะดุ้ง หวั่นไหว กองไฟลุกโชนอีกครั้ง
และเกิดแรงกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา

จงขอบคุณศัตรูของเราซะ!!

จงภูมิใจและขอบคุณกับศัตรูหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรา...
เพราะนั่นคือแรงผลักดัน ให้เรารู้จักการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง


ยิ่งเราทำให้ศัตรูรู้ว่าเราเก่งเกินกว่าที่เขาจะต่อกรได้
และยอมจำนนต่อเราด้วยความเต็มใจ
ศัตรูที่ว่าร้าย จะกลายเป็นมหามิตรที่ยิ่งใหญ่
และให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา
การเปลี่ยนมหาศัตรูให้กลายเป็นมหามิตรที่ยิ่งใหญ่
เราจะรู้ว่า เป็นพลังแห่งความสุขที่สุดๆ ครับ
จำนวนผู้อ่าน : 4720 คน------------------------------------------

พลังแห่งความสำเร็จ (Power of Success: POS) Part 3


การคิดต่างๆ ของเรานั้น
จะสามารถที่จะกำหนดการกระทำของเราได้ตลอดเวลา
ก่อนที่เราจะคิดปรับปรุงหรือพัฒนาตนเอง
ในเบื้องต้นคงต้องให้เกิดการรู้จักกับตัวตนเสียก่อนว่า
เรามีความคิดและทัศนคติเป็นเช่นไร
มิเช่นนั้นแล้ว ก็อาจจะไม่สามารถเข้าใจผู้อื่นได้

การที่จะเข้าใจผู้อื่นได้ต้องเกิดการยอมรับในตัวเขา
อย่าพยายามเปลี่ยนให้เขาเป็นไปตามที่ใจเราต้องการ
แต่จงยินดีที่จะยอมรับความเป็นไปของเขาครับ
ยอมรับความเป็นตัวตนที่แท้จริง

เพราะการยอมรับซึ่งกันและกันได้นั้น
จะสามารถลดระดับความกดดัน หรือการเผชิญหน้าด้วยทีท่าเชิงลบ
เพราะจะมองในสิ่งที่สร้างสรรค์
สิ่งที่เป็นบวกกับตนเองหรือกับผู้ที่คุยด้วย

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจทัศนคติของตนเองก่อน
เพื่อจะได้มีการพัฒนาให้ยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ
แบบทดสอบดังกล่าวผมขอหยิบยกจากหนังสือ

108 เกมและกิจกรรมเพื่อพัฒนาบุคลากร
ของคุณสมชาติ กิจยรรยง
นักคิด นักเขียน ที่ฝากผลงานในด้านการบรรยาย
และการพัฒนาบุคลากรไว้อย่างมากมาย
ซึ่งผมเห็นว่ามีประโยชน์มาก
ในการวิเคราะห์ทัศนคติของตนเองในเบื้องต้น
ว่าเราเองเป็นคนที่มองโลกหรือมองความเป็นไปอย่างไรบ้าง
ก็มีประยุกต์บ้างในบางข้อ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปครับ 

หากพร้อมแล้ว เราลองทำแบบทดสอบชุดนี้กัน
แล้วมาดูผลว่าเราเป็นคนเช่นไร... 

แบบทดสอบทัศนคติ รู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นคำเหล่านี้?
จงวงกลมล้อมรอบ ก ข หรือ ค ที่ตรงกับความคิดตนเองมากที่สุด

1.  ความรัก                  
ก. รักคือพลังสร้างสรรค์ชีวา            
ข. อกหักดีกว่ารักไม่เป็น      
ค. ทั้งรักทั้งแค้น

2.  หน้าผาชัน   
ก. ธรรมชาติอันงดงาม                    
ข. ท้าทายอยากปีนป่าย      
ค. หินแหลมคม

3.  เงินทอง                   
ก. ความมั่นคง มั่งคั่ง                      
ข. ของนอกกาย                 
ค. หนี้สิน ขาดมือบ่อย

4.  รถยนต์                   
ก. สะดวก ได้ท่องเที่ยว                   
ข. ไม่มีปัญญาซื้อ   
ค. รถติดหน้าเบื่อ

5.  อากาศ                    
ก. อากาศดี อายุยืน                        
ข. ไม่มีอากาศดีหายใจ        
ค. มลพิษมาก

6.  อาหาร                     
ก. กินอิ่ม ไม่อด                              
ข. ต้นเดือนจึงได้กินดี         
ค. คุณภาพอาหารแย่ลง

7.  เซ็กส์                      
ก. ความปรารถนาของมนุษย์           
ข. ขุ่นเคือง ขัดข้อง 
ค. น่าเกลียด น่ากลัว

8.  ความมืด                  
ก. ได้พักผ่อน ผ่อนคลาย                
ข. เดี๋ยวก็สว่าง                   
ค. น่ากลัว เหงา

9.  หนังสือ                    
ก. น่าเบื่อ ตำรา                              
ข. ความรู้ทำให้องอาจ         
ค. นิยาย ขำขัน

10.  การพักผ่อน           
ก. งานหนักไม่ได้พักผ่อน                
ข. พักฟื้น ผ่อนคลาย          
ค. การพักผ่อนคือชีวิต

11.  งานที่ทำ                
ก. ปัญหา เล่นพวก การเมือง
ข. งานคือชีวิต                   
ค. ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก

12.  ตำรวจ                   
ก. ใบสั่ง โรงพัก                              
ข. ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์        
ค. คดีฉ้อโกง

13.  ฝนตก                   
ก. บ้าน หดหู่ ว้าเหว่                        
ข. ต้นไม้สีเขียว ชุ่มชื้น        
ค. รถติด

14.  อีเมล์                     
ก. ส่วนใหญ่ข่าวร้าย                        
ข. ข่าวอะไร ว่องไวดี           
ค. ข่าวร้ายหรือข่าวดีก็ได้

15.  แว่นตาดำ  
ก. การปิดบัง อำพราง                     
ข. เสริมบุคลิก                    
ค. สายตาไม่ดี

16.  พ่อค้าแม่ค้า           
ก. เอาเปรียบ ขูดรีด                        
ข. คนร่ำรวย                      
ค. ชาวจีน

17.  เจ้านาย                 
ก. คนคอยควบคุมดูแล                    
ข. ต้องประจบเอาใจ
ค. คนเลื่อนตำแหน่ง

18.  บ้าน                      
ก. การทะเลาะเบาะแว้ง                    
ข. ต้องเช่าเขาอยู่   
ค. ครอบครัวที่อบอุ่น

19.  แขก                      
ก. ภาระค่าใช้จ่าย รบกวนเวลา         
ข. คนโพกผ้า                     
ค. มิตรภาพ

20.  เด็กๆ                     
ก. ตัวก่อกวน รายจ่าย                     
ข. ความซุกซน                  
ค. ความน่ารัก อิ่มเอมใจ

21.  การเขียน   
ก. ไม่ชอบเขียน                             
ข. ลายมือไม่สวย    
ค. ช่วยพัฒนาความคิด

22.  ดนตรี                    
ก. เสียงหนวกหู                              
ข. คนตาบอด                     
ค. ความสุข แรงบันดาลใจ

23.  สุขภาพ                 
ก. เจ็บไข้ได้ป่วย                            
ข. อายุไม่เกิน 100 ปี          
ค. กีฬา อาหาร พักผ่อน

24.  สุนัข                      
ก. ภาระค่าใช้จ่าย                           
ข. เลี้ยงไว้เอาบุญ   
ค. เพื่อนจงรักภักดี

25.  การทดสอบ           
ก. ไม่มั่นใจว่าสอบได้                      
ข. ทางเลือกที่น่าลอง          
ค. โอกาสได้ฝึกฝนทบทวน
พลังแห่งความสำเร็จ (Power of Success: POS) Part 4

เมื่อทำได้ครบทุกข้อแล้ว เรามาดูเฉลยกันว่ามีคนถูกสักกี่ข้อ
(อ่านคำถามในตอนที่ 3 ครับ)

ข้อ        1-8       ตอบ ก
ข้อ        9-16     ตอบ ข
ข้อ        17-25   ตอบ ค

ให้รวมคะแนนทั้งหมด โดยให้ข้อละ 1 คะแนนครับ
ผลเป็นอย่างไรบ้าง เราจะมาวิเคราะห์ตัวเองต่อไป


ได้คะแนนรวมทั้งหมด น้อยกว่า 17 คะแนน
แสดงว่าเรายังมีทัศนคติอยู่ทางทางลบ
ยิ่งคะแนนน้อยเท่าไร แสดงว่าเรามองทัศนคติในเชิงลบตลอดเวลาครับ
ลองนึกย้อนกลับไปดู ว่าในอดีตที่ผ่านมา เรามีความสุข
หรือรู้สึกสบายใจกับอะไรบ้าง หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว
คิดว่าเราเอง มีความสุขกี่เปอร์เซ็นต์
นั่นคือ ทัศนคติในภาพรวมของการทำแบบทดสอบชุดนี้ครับ
พยายามมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวด้วยมุมมองใหม่ๆ เปลี่ยนมุมมองดูบ้าง
คิดถึง Background ของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของผู้คนครับ
อย่าด่วนสรุปเอาเอง อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ
หากเรายังไม่ได้สัมผัสหรือไม่ได้เห็นด้วยตา

ได้คะแนนรวมทั้งหมด มากกว่า 17 คะแนน
แสดงว่าเราเป็นผู้ที่มีทัศนคติในเชิงบวก (Positive Attitude)
ยิ่งได้คะแนนสูงเท่าไร แสดงว่าเรามองโลกในแง่ดีมากเท่านั้น
เป็นผู้ที่พบเจอแต่ความสุข และมีความเครียดในชีวิตน้อยมากครับ
ไม่ค่อยจะใส่ใจอะไรมากจนเกิดอาการเครียด
ซึ่งเป็นส่วนดีที่ทำให้ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ด้วย
เพราะพูดคุยแล้วรู้สึกสบายใจ และก็ไม่ค่อยจะเก็บอะไรมาคิดให้หนักสมอง
หากเรื่องนั้นไม่ได้มีค่า หรือมีผลกระทบต่อตัวเองมากเกินไป
หรือที่เราเรียกกันติดปากทั่วไปว่า มองโลกในแง่ดี

แม้ว่าแบบทดสอบชุดนี้จะเป็นแบบทดสอบที่อาจจะดูเหมือนเป็นการชี้เป็นชี้ตาย
ว่าเราเป็นคนความคิดในเชิงลบ หรือความคิดในเชิงบวก
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ในโลกใบนี้ไม่ได้ครับ

ผมเชื่อว่าหากมีข้อคำถามที่มากกว่านี้
ผู้ที่ได้คะแนนน้อย ก็สามารถที่จะได้คะแนนเพิ่ม
และผู้ที่ได้คะแนนสูงอยู่แล้ว
อาจจะไม่มีการพัฒนาของคะแนนเพิ่มขึ้นบ้างเลยก็เป็นไปได้
อย่ายึดติดกับแบบทดสอบนี้มากเกินไป

ที่ให้ทดลองทำ เพื่อให้เห็นว่า เราทุกคนก็มีความสามารถในการคิด
การมองต่างมุมที่แตกต่างกัน
ไม่สามารถที่จะบังคับให้ทุกคนตรงใจเราได้ทั้งหมดครับ

เพราะนี่คือความเป็นคน ความเป็นมนุษย์โดยแท้จริง
ถือเป็นความหลากหลาย ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ให้เกิดการเรียนรู้ต่อกัน
หากมนุษย์มีความต้องการความรู้สึกต่างๆ เหมือนกันหมด
ก็คงไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ จะไม่เกิดการเรียนรู้ระหว่างกัน
จะไม่เกิดความรัก ความโลภ ความหลง หรือการเอาอกเอาใจกัน
แต่เพราะเป็นแบบนี้ล่ะครับ โลกเราถึงมีอะไรใหม่ๆ ท้าทายเราอยู่เสมอ

แยกความเป็นเขา เป็นเรา ออกไป
แล้วมองความเป็นตัวตนจริงๆ ของบุคคลนั้น
จะทำให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
และไม่กังวลใดๆ อีก

อย่างที่ผมได้บอกแล้วว่า ความคิดหรือทัศนคติในด้านบวก
จะส่งผลอันยิ่งใหญ่มหาศาลแก่เรา
ตั้งแต่ปัจจุบัน ที่กำลังอ่านหนังสือนี้อยู่
จนกระทั่งในอนาคตที่เรายังคงทัศนคติที่ดีอยู่ตลอดไป

เชื่อว่าทุกคนย่อมอยากที่จะเกิดมาร่ำรวย
มั่งคั่ง ด้วยเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง
แต่ไม่สามารถที่จะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้

แปลกใจบ้างไหมครับ?
ว่าทำไมบางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้
บางคนร่ำรวยได้ในช่วงเวลาไม่นาน
บางคนขยันแทบตาย ทำยังไงก็ไม่ร่ำรวยเสียที

ไม่ใช่เรื่องแปลกและพิสดารอีกต่อไปครับ
หากว่าเราได้ปฏิบัติตามที่ได้บอก ขอเพียงแต่อย่าเพิ่งท้อแท้เสียก่อน
หากยังไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางไว้ อย่าล้มเลิกกลางคัน

ส่วนใหญ่ล้มเหลวเพราะล้มเลิกกลางคัน
ไม่ยอมสู้ต่ออุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เพราะกลัวความสุขสบายที่เคยได้รับจะหมดไป...
ซึ่งก็นั่นแหละครับ เป็นศัตรูตัวฉกาจของจิตใจเราเอง
มากกว่าศัตรูที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเสียอีก...

สลัดทิ้งไปเสีย ความล้มเหลว หรือความกลัว ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว
“Change your mind”
พลังแห่งความสำเร็จ (Power of Success: POS) Part 2
เนื้อหาต่อจากนี้ จะพาพวกเราสัมผัสแห่งความเป็นจริง
ว่าสิ่งที่เราเคยได้ยิน ได้ฟังมา โดยเฉพาะกับคำว่า...

ฉันทำไม่ได้
ฉันไม่เก่งพอ
มีคนเก่งกว่าฉันตั้งมากมาย
แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว...ทำไม่ไหวหรอก!”
คนอย่างเธอไม่มีความสามารถหรอก...เธอทำได้แค่นี้แหละ

จากนี้คำต่างๆ ที่เคยได้ยินมา
จะกลายเป็นพลังผลักดันให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง
เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านี้ ค่อยๆ ศึกษาและปฏิบัติตามอย่างช้าๆ
ด้วยความเข้าใจและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
พลังแห่งความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับตัวของเรา...

ตำราทั้งไทยและต่างประเทศ
ได้ให้ความสำคัญของพลังในทางบวก (Positive Power)
ว่ามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมากมาย
มนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังด้านบวกอยู่ภายในตัว
เพียงแต่ว่าสถานการณ์และแรงกดดันรอบข้าง
ทำให้มนุษย์ผลักดันพลังด้านลบออกมามากกว่าพลังด้านบวก?
เชื่อเถอะว่า ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของมนุษย์!!!

บ่อยครั้งไหม?...ที่เราท้อแท้
บ่อยครั้งไหม?...ที่เราหมดหวัง...
เชื่อว่า...ยังมีอีกหลากหลายความรู้สึก ที่ทำให้การดำเนินชีวิตติดลบ
ไม่สามารถก้าวสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้...

เปลี่ยนเดี๋ยวนี้ครับ!!!”
           
สร้างพลังและทัศนคติในทางบวก ให้เกิดขึ้นกับตัวเองโดยเร็ว...
เพื่อหยุดตอกย้ำความท้อแท้ ความล้มเหลวที่กำลังจะก้าวผ่านมาในชีวิต...
ให้กลับกลายเป็นพลังผลักดันที่ยิ่งใหญ่
เพื่อความสำเร็จในชีวิต

พูดกันติดปากมากมาย หลายต่อหลายคนว่า
ให้มีความคิดด้านบวก
ให้มองโลกในด้านบวก
และอีกหลายๆ คำพูด อะไรๆ ก็มีแต่บวกๆๆๆ
แล้วความหมายที่แท้จริงล่ะ?...คืออะไร?
ความเข้าใจอย่างง่ายๆ นั่นคือ...

การที่เราจะมอง..จะคิด...จะทำอะไรก็ตาม...
บังเกิดความสุข...ทั้งตนตนเอง...และต่อผู้อื่น

สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนความคิด....
จากด้านลบ...สู่ด้านบวก...
แม้จะทำได้ยาก...ในเวลาเริ่มต้น...
แต่เมื่อลงมือทำแล้ว...จะลื่นไหลโดยอัตโนมัติ!!!
           
เราเคยถามกับตัวเอง หรือเคยมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว
ด้วยสภาพจิตใจที่สดชื่นสดใสหรือเปล่า?
การพบปะพูดคุยกันระหว่างเพื่อนๆ หรือผู้ที่เรารู้จัก
เรามองบุคคลที่อยู่รอบด้านเราเป็นแบบไหน?...
แล้วเรามีความคิดแบบใด?
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อนะครับ...แค่พลังความคิดอย่างเดียว
ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้...
แท้ที่จริงโลกไม่ได้เปลี่ยน...แต่เราต่างหากที่เปลี่ยน!!!

โลกยังคงเป็นโลกใบเดิมๆ เพียงแต่ขอให้เราใช้ชีวิตอีกด้าน
ใช้ชีวิตอีกแบบ...มองอะไรใหม่ๆ
นั่นคือการเปิดกว้างทางความคิดครับ...
เพราะเมื่อเปิดกว้างทางความคิดก็จะทำให้เรารับสิ่งใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
แต่เมื่อรับเข้ามาแล้ว...ก็ต้องรู้จักการพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน...

เรื่องของความคิดด้านบวกนั้น...ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เคยพบเจอมาด้วย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก...หากว่าเราจะฝึกและปรับเปลี่ยนมุมมองในด้านบวก

การที่เรารู้จักคิดแต่สิ่งดีๆ...สิ่งดีๆ ก็จะถูกดึงดูดเข้ามาหาเราครับ...
เราเคยไหม? เคยฝันอะไรมานานมากแล้ว....
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง...สิ่งที่เกิดในภาพฝันนั้น...ก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้า...
แม้เราจะจำไม่ได้ว่า...เราฝันเมื่อไหร่??
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของเรา...เราแน่ชัดว่า...
เคยฝันเห็นมาแล้ว!!!
ไม่ว่าเรื่องนั้น...จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ก็ตาม...
หากในฝันเราฝังใจเสียเหลือเกิน...ร่างกายและความคิดก็จะพยายาม...
ดึงเหตุการณ์เหล่านั้นเข้ามาในชีวิต...

และเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ...มั่งคั่ง...มั่นคง
จงคิดด้านบวก...
เพราะพลังงานด้านบวกจะดึงเอาสิ่งดีๆ เข้ามาหาเรา
หากคิดถึงพลังงานด้านลบ...ผลร้ายๆ ก็จะติดตามเราเรื่อยมา...

ร่างกายและความคิดจะเป็นตัวควบคุมให้กระบวนการคิดเหล่านั้น...
กลายเป็นความจริง...!!!
พลังแห่งความสำเร็จ (Power of Success: POS) Part 1
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำไม่ได้
หากทำไม่ได้ แสดงว่า ยังไม่ได้ทำอย่างเต็มที่

ผมเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อมั่นกับคำกล่าวนี้ หากแต่มนุษย์มีความสามารถ
มีความตั้งใจจริง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น
ที่สำคัญคือ ขอให้เราตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถ
ต้องตั้งใจทำทุกอย่างด้วยใจ เพราะสิ่งที่ทำออกมาจากใจ
ด้วยเจตนาดี จะผลักดันให้เราก้าวขึ้นสู่แถวหน้าได้ไม่ยากเย็น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของคนไทย
ที่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนไทยด้วยกัน
แทบทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ เรียกกันว่า เป็นการพลิกโฉมหน้า
ความเก่งกล้าสามารถของคนไทยโดยแท้ และเป็นการแสดงให้ต่างชาติเห็นว่า
คนไทยก็สามารถขึ้นไปยืนในระดับของเวทีโลกได้เช่นเดียวกัน

ปัจจุบันท่านเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
มีค่าชั่วโมงในการแลกเปลี่ยนความคิดสูงทีเดียว
แต่ผมก็เชื่อว่า มีอีกหลายคนที่ต้องการฟังเรื่องราวแห่งความสำเร็จของบุคคลนี้
ด้วยวัยเพียงสามสิบต้นๆ ก็สามารถยืนในระดับโลกได้แล้ว
บุคคลท่านนี้ไม่ใช่ใครอื่นครับ

คุณบัณฑิต อึ้งรังษี

นักวาทยกรชาวไทยระดับโลก ที่เทียบชั้นระดับมืออาชีพมาแล้ว
วงดนตรีออเคสตร้า ชื่อดังหลายวง คุณบัณฑิต เคยร่วมงานมาแล้วเกือบทั้งสิ้น...

เหมือนเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด มหัศจรรย์พันลึกทีเดียว
ที่คนไทยอย่างคุณบัณฑิต คนไทยที่ไม่มีทีท่าว่าจะมีชื่อเสียงแต่อย่างใด
กลับพลิกผัน เปลี่ยนชะตาชีวิตในชั่วพริบตา
ด้วยความสามารถและความเชื่อมั่นในตัวเอง

ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ ที่เราจะฝ่าอุปสรรคแล้วขึ้นไปยืนเด่นเป็นสง่า
ให้ผู้คนยกย่องชมเชย
ถึงเวลาที่เราจะต้องดึงเอาพลังแห่งความสำเร็จ
ภายในตัวออกมาใช้ให้เต็มศักยภาพของเรา
อย่ามัวกั๊ก กลัว ผวา หรือเกรงใจ อยู่เลยครับ
ตราบใดที่อยาก หรือกระหาย

ผมจะขอใช้คำว่ากระหายจะดีกว่า
กระหายที่จะร่ำรวย มั่งคั่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต และหน้าที่การงาน

ผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความปรารถนาจะประสบความสำเร็จในชีวิต
และตอนนี้ผมก็กำลังดำเนินชีวิต เพื่อพัฒนาศักยภาพในตัวเอง
ผ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาเพียงพอที่จะสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง

รวมถึงความมหัศจรรย์ที่ผมพบได้จากความเชื่อมั่นของตนเอง
ความมั่นคง แน่วแน่ และใจจดจ่อ
ว่าทุกอย่างในโลกเป็นไปได้ อยากได้อะไร ต้องได้!!!

ไม่มีอะไรในโลกที่ทำไม่ได้
ไม่ได้ไม่มี ไม่มีไม่ได้

สำหรับผมแล้ว ในตอนนี้ยึดถือคติที่ว่า
ไม่มีอะไรในโลกที่ทำไม่ได้

จึงอยากที่จะบอกเล่า เรื่องราวแห่งความสำเร็จ
ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ทุกท่านได้ทราบ
และนำไปปรับใช้ เพื่อให้เกิดพลังแห่งความสำเร็จอย่างแท้จริง!!!

พลังแห่งความสำเร็จ ขึ้นอยู่ที่เราเองครับ!!!
           
“You are Successful!!”

จงเชื่อมั่นความสามารถ และศักยภาพของเรา
แสดงความเก่ง ความเชี่ยวชาญของเราให้ผู้อื่นได้ประจักษ์
ให้ผู้อื่นรู้ว่า...เรามีดี

มนุษย์เรานั้นเกิดอาการท้อแท้ไม่อยากต่อสู้หรือฝ่าฟันอุปสรรคมากกว่า
จึงทำให้สิ่งที่ว่าง่ายๆ กลับกลายเป็นสิ่งที่ยาก
และสิ่งที่ว่ายาก กลับกลายเป็นยากขึ้นอีกหลายเท่า
สาเหตุนั่นก็เป็นเพราะ
พลังความคิด (Power of Thinking)

หากเราคิดในเชิงสร้างสรรค์ก็จะนำให้เกิดแรงบันดาลใจและเกิดความสุข
หากคิดในทางไม่สร้างสรรค์หรือแง่ร้าย
ย่อมไม่มีวันประสบความสำเร็จ มีแต่ล้มเหลวเท่านั้น!!!

TrainerPatt เล่าเรื่อง
  
สวัสดีครับทุกๆ ท่าน
ผมชื่อ พัฒนะ มรกตสินธุ์
ชื่อเล่น ชื่อ พัฒน์ (Patt)
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาองค์กรและฝึกอบรม
โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล

ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ในระดับดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
Philosophy of Doctor Human Resources Development : Ph.D. HRD)
มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ผมมองเห็นว่า ในอนาคตอีกไม่กี่ปี ต่อจากนี้ หลายๆ องค์การ
จะเริ่มหันมาให้ความสนใจกับคนมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะต่อให้แต่ละองค์การจะมีกลยุทธ์หรือวิสัยทัศน์ที่สุดยอดแค่ไหน
ก็ไม่พ้นการดำเนินงานด้วยคน ดังนั้น การเรียนรู้ศาสตร์ด้านการพัฒนามนุษย์
จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และทำให้เราได้เปิดหูเปิดตามากขึ้น
แต่ที่สำคัญคือ...
ต้องรู้จักการรับฟังเสียงคนรอบข้างครับ
ไม่เช่นนั้นจะทำงานกับคนอย่างไม่มีความสุข
ประเด็นหลัก ที่ผมเห็นว่าควรเป็นสิ่งสำคัญนั่นคือ

มุมมองด้านความคิดและทัศนคติทางด้านบวก
(Positive Thinking และ Positive Attitude)

ที่จะผลักดันให้เราสามารถทำงานกับบุคคลต่างๆ ได้มีความสุขมากขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่า ผมตั้งใจที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้
มาใช้ในการพัฒนาพลังความคิด
ของบุคลากรในองค์การ ให้เกิดความสุขในการทำงาน ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ในระดับปริญญาโท จบจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ชื่อย่อของ มศว จะไม่มีจุดครับ ส่วนใหญ่จะเขียนผิดกัน
และคำอ่านก็คือ ศรี-นะ-คะ-ริน-วิ-โรฒ ครับ
ไม่มี ทะ-ระ เหมือนที่นักข่าวสมัยนี้อ่านกันจนผิดเป็นถูก)
รับปริญญาบัตรการศึกษามหาบัณฑิต
สาขาวิชาธุรกิจศึกษา (Business Education)
ซึ่งสาขาวิชานี้ เป็นการเรียนรู้แบบผสมผสาน
ระหว่างศาสตร์ของบริหารการศึกษา กับศาสตร์ด้านบริหารธุรกิจ
ซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ศาสตร์ทั้งสองด้าน มีความสนุกสนานและท้าทายมาก
และได้นำมาปรับใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา
แม้กระทั่ง ผมเรียนต่อ ก็ยังนำความรู้มาใช้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนในระดับปริญญาตรี จบที่ มศว เช่นกันครับ
ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาสันทนาการ (Recreation)

ปัจจุบันก็เปลี่ยนกลับมาใช้คำว่า นันทนาการ กันอีกแล้วครับ
สันทนาการก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้มีความหมาย มีความสุข
เป็นเรื่องของกิจกรรมต่างๆ การส่งเสริมความสดชื่น และชีวิตประจำวัน
สอนให้เราได้รับรู้ว่า ชีวิตของเรานี้
จะขาดสิ่งบันเทิงเริงรมย์เหล่านี้มิได้เลย...
ก็เห็นจะเป็นเรื่องจริง
ซึ่งการที่ผมเลือกเรียนสาขาวิชานี้
เพราะทราบว่าตัวเองถนัดด้านไหนบ้าง?
เชื่อไหมครับ? ว่าการสอบเอ็นทรานช์ในสมัยของผมนั้น
กำหนดให้เลือกคณะและมหาวิทยาลัยที่ชอบได้ 4 อันดับ
และผมเลือก คณะพลศึกษา ภาควิชาสันทนาการ
มศว เป็นอันดับที่ 1 (รักมากแค่ไหน)
ส่วนช่องที่เหลืออีก 3 ช่อง
ใส่เครื่องหมาย 0000 ทั้งหมด!!!
(เวลาเลือกคณะ เขากำหนดให้ลงเป็นรหัสครับ)
พอที่บ้านและญาติๆ ทราบว่าผมเลือกแบบนี้
โดนด่ายับครับ...แหะแหะแหะ!!!
บอกว่า เลือกแบบนี้มันเสี่ยงมาก
หากเอ็นไม่ติดล่ะ? จะเรียนที่ไหน?

ต้องยกความกล้าตัดสินใจแบบนี้
ให้แก่คุณแม่และคุณพ่อของผม
ท่านให้อิสระในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการเรียน
ท่านจะปล่อยให้ผมได้ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ และสนับสนุนตลอดเวลา
จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของผมมีความสุข
เพราะไม่เคยถูกบังคับ แต่ท่านทั้งสอง จะใช้เหตุผลในการคุยกับผม
สิ่งไหนที่ไม่ชอบ ก็จะไม่บังคับให้ทำ
และท่านก็จะยินดีกับสิ่งที่ผมทำทุกครั้ง
ไม่ว่าสิ่งนั้นมีมีผลอย่างไรบ้าง

คุณแม่ก็เตรียมการณ์ให้พร้อมครับ
เพราะผมก็ได้ไปสมัครสอบที่ราชภัฏพระนครด้วย
(ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครแล้ว)
โดยเลือกคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
เพราะมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสอบเข้า
คือ ต้องได้เกรดเฉลี่ยตั้งแต่ 2.50 ขึ้นไป
ซึ่งตรงนี้แหละครับ
ที่จะเป็นเกณฑ์การคัดจำนวนผู้สมัครสอบลงได้เกือบเท่าตัว
ซึ่งผมก็สอบติดเช่นเดียวกัน...
(ใช้การตลาด โดยที่ยังไม่ได้เรียน)
แต่เลือกเรียนที่ มศว เพราะชอบด้านสันทนาการมากกว่า!!!


จริงๆ แล้วการเข้าเรียนในระดับปริญญาตรี
ผมวางแผนไว้แล้วครับว่าจะต้องเรียนที่ภาควิชานี้ให้ได้
ตั้งแต่ผมยังเรียนไม่จบม.6 แต่ได้แรงบันดาลใจ
จากรุ่นพี่ที่เพิ่งจบออกไป
(ตอนมัธยม ผมอยู่ที่ร.ร.ดอนเมืองจาตุรจินดา ได้เป็นรองประธานนักเรียน
ตอนม.5 และ ประธานนักเรียนตอน ม.6 พร้อมทั้งรางวัล
นักกิจกรรมดีเด่นของร.ร.) 
รุ่นพี่ได้กลับเข้ามาแนะนำถึงคณะที่ตนเองเรียนอยู่
(ก็คณะพลศึกษา มศว นั่นล่ะครับ)
ซึ่งขณะนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 ภาควิชาคือ
พลศึกษา...สุขศึกษา...และ...สันทนาการ
เขาจะเรียกติดปากกันว่า

พละสุขสันต์

ก็เหมือนๆ กับว่า พวกนี้วันๆ ไม่ทำอะไร
เอาแต่สนุกสุขสันต์กันท่าเดียว
แต่ก็เห็นจะจริงครับ เพราะการเรียนการสอนนั้น
เป็นเรื่องที่เราต้องสนุกสนานกับสิ่งนี้ก่อน ก่อนที่จะไปแนะนำ
ให้ใครๆ ได้สนุกเหมือนกับเรา
กีฬาทุกชนิดต้องรู้ ต้องทราบ...
แต่จะเก่งหรือเปล่า?...ก็อีกเรื่องหนึ่ง!!!
ผมได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกว่า
นี่ล่ะเป็นตัวเรา...
จึงตัดสินใจฟันธง...และคอนเฟิร์มว่า
ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม...
และผมก็ได้เรียนที่ มศว ดังใจปรารถนา...
ตามต่อด้วยปริญาโท และปริญญาเอก

ซึ่งก็เหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลย
แต่ผมขอยืนยันว่า ที่เลือกเรียนนั้น
ปัจจุบันนี้ผมได้นำความรู้ที่ได้ทั้งหมด
ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี จนถึงระดับปริญญาเอก
ที่กำลังศึกษาในปัจจุบัน นำมาใช้เกี่ยวเนื่อง
และต่อยอดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ดีใจกับตัวเองครับ ที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
อยากเรียนอะไร? ไม่ได้เฮตามเพื่อนๆ
ซึ่งผมก็เชื่อว่าทุกๆ รุ่น ทุกๆ ยุค เป็นเช่นนี้กันมาก
ติดเพื่อน...จนลืมไปว่า เวลาที่เราล้มหรือผิดหวัง
คนที่จะช้ำใจที่สุดคือ
ครอบครัวของเราเองครับ!!!
และคงไม่มีใครที่จะเข้าใจเราได้ดีกว่าตัวเองหรือครอบครัวของเรา

ผมเดินทางมาจนถึงวันนี้ได้
เป็นเพราะการตัดสินใจ มีเป้าหมายกับชีวิต
ซึ่งสิ่งนี้แหละครับที่จะพลิกเปลี่ยนให้เราก้าวหน้าได้ตลอดเวลา
ปัจจุบันนี้ผมจะใช้วลีเด็ด...ที่อ่านแล้วโดนเต็มๆ
คงไม่ใช่ คติยอดฮิต...
ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
เพราะแท้จริงแล้ว
ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความพยายามก็อยู่ที่นั่น
ถ้าเรายังพยายามต่อไป...
แต่ที่ที่จริงเราต้องเปลี่ยน
เราต้องทำได้

ผมจึงเชื่อว่า
“Great change always…Start from within”
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่...เริ่มต้นจากข้างใน

ถ้าเรายังลังเลอยู่...
ความสำเร็จในชีวิตก็จะลังเลตามเราต่อไปครับ
คุณพ่อ คุณแม่ เป็นกำลังใจสำคัญ ที่จะทำให้เรา
ก้าวขึ้นสู่แถวหน้าได้...เป็นห่วง ดูแล และรักท่านทั้งสองให้มากๆ ครับ
และที่อยากฝากไว้อีกหนึ่งคติ จากพุทธศาสนสุภาษิต คือ
นิมิตตํ สาธุ รูปานํ กตญฺญู กตเวทิตา
ความกตัญญู กตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น